วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

คำฮิตติดกระแสโลกออนไลน์ อนาคตภาษาไทย??


โดย : กัลยาวีร์ แววคล้ายหงษ์

“สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” แล้ว “คำศัพท์ฮอตฮิต” ในสังคมออนไลน์ ส่ออะไร?

เป็นปกติสำหรับผู้ที่ใช้สังคมออนไลน์ที่ต้องคุ้นชินกับการเกาะกระแส “การใช้คำศัพท์”ใหม่ ๆ ที่ฝุดขึ้นในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต บางคำไปไวมาไว ใช้พอหอมปากหอมคอ แล้วหายเข้ากลีบเมฆ ขณะที่บางคำถูกนำมาใช้จนเคยชิน จนบางครั้งทำให้ลืมต้นตอของความหมาย รวมถึงการเขียน-ใช้อย่างไรให้ถูกต้อง

ส่องคำฮิตติดลมในสังคมออนไลน์

ปี 2555 มีคำมากมายฝุดขึ้นมาอย่าง แล้วใช้กันอย่างรวดเร็วและแพร่หลาย ยกตัวอย่างเช่น คำว่า ฟิน ที่มีความหมายถึงความรู้สึกมีความสุข,สุดยอด,อิ่มเอิ่บ กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คำว่า ดราม่า เป็นคำอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากความคิดเห็นที่แตกต่าง อคติ หรือจริงจังมากเกินไป แล้วก่อให้เกิดความขัดแย้ง รำคาญใจ กับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด ที่มีที่มาจากเว็บไซต์ยอดนิยมอย่างพันทิป ส่วน เงิบ ที่มาจากการตัดคำจากคำว่า “หงายเงิบ” เพื่อสื่อถึงอาการงง หรืออึ้งจนพูดไม่ออก
ขณะที่คำที่พิมพ์ผิดโดยไม่ตั้งใจ แต่มีการนำมาใช้ด้วยความ "จงใจ" อย่าง จุงเบย ที่มาจากคำว่า จังเลย และ เมพขิง ๆ ที่มาจากคำว่า เทพจริง ๆ
นอกจากนี้ยังมีวลีเด็ด เช่น เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่ ซึ่งเกิดจากการที่เด็กชั้น ม. 1 อัดคลิปลงยูทูบเพื่อต้องการตอบโต้เพื่อน ๆ ในห้องที่แบนตนเองในสังคมออนไลน์ ขณะที่ แก่ ใจดี สปอร์ต กทม. ที่มีที่มาจากหนุ่มใหญ่คนหนึ่งที่อธิบายความเป็นตัวเอง จนหลายคนนำลักษณะวลีดังกล่าว ใช้เพื่อบอกถึงตัวตนของตัวเอง และ จนธนูปักที่หัวเข่า เป็นคำพูดที่อยู่ในเกม ที่ต่อมากลายเป็นคำนี้ฮิตทั้งไทย และต่างประเทศ

“ครอบครัว-สถาบันการศึกษา” ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน “การใช้ภาษา” ของวัยรุ่นได้
คำยืนยันของ น.ส.สุปัญญา ชมจินดา ผู้อำนวยการกรมวิทยาศาสตร์


ราชบัณฑิตยสถาน ที่ระบุว่า ภาษามีการเปลี่ยนแปลงและสามารถเกิดคำศัพท์ใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา ถือเป็นปกติอย่างยิ่ง หากแต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีด้านการสื่อสารคอยช่วยให้คำเหล่านั้นเผยแพร่เร็วขึ้น จึงก่อให้เกิดการใช้วงกว้าง และส่งผลให้รู้สึกว่ามีคำศัพท์เกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก แต่การใช้คำก็ยังคงจำกัดอยู่ในการสื่อสารเฉพาะกลุ่มอยู่ดี เช่น เพื่อนกับเพื่อนและด้วยสาเหตุที่มีการใช้กันเพียงแค่สังคมออนไลน์ จึงเป็นสิ่งที่ผู้อำนวยการกรมวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน กังวลว่า การใช้คำศัพท์เหล่านี้อย่างไม่รู้ที่มาที่ไปอาจจะส่งผลให้เกิดความสับสน เมื่อต้องใช้สื่อสารอย่างเป็นทางการ เช่น กับผู้ที่อาวุโส การติดต่อราชการ รวมไปทักษะการเขียน “เด็กวัยุร่นบางคนอาจจะยังแยกแยะไม่ได้ เนื่องจากเด็กไม่มีภูมิคุ้มกัน ที่จะมีคนคอยให้ความรู้หรือคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้คำ ซึ่งครอบครัว และสถาบันการศึกษาต้องช่วยกันในการส่งเสริม”
ผู้อำนวยการกรมวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน ยังระบุอีกว่า จากการประเมินภาพรวมในการใช้ภาษาของวัยรุ่นปัจจุบัน ยังพบว่า มีความสับสนในการใช้คำ ซึ่งมาจากหลาย ๆ ปัจจัย โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้คำ ทั้งนี้ เรื่องของภาษานั้น ไม่สามารถสร้างความเข้าใจได้ภายในเร็ววัน จำเป็นต้องใช้เวลา“ใช้-แชร์” คำฮิตติดกระแส สร้างจุดยืนและตัวตนในสังคมที่อยู่อีกหนึ่งมุมมองจากนักจิตวิทยา พญ.วิมลรัตน์ วัญเพ็ญ รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ ที่มองในเรื่องการสร้างตัวตนช่วยสนับสนุน “ความจำเป็น” ที่หลายต้อง “ใช้-แชร์” คำศัพท์ รวมถึงกระแสด้านอื่น ๆ ว่า การตามกระแสของวัยรุ่นเป็นพัฒนาการ

อย่างหนึ่ง ถือเป็นความสำเร็จในวัย ที่วัยรุ่นต้องการมีเอกลักษณ์ของตนเอง เพื่อให้เกิดการยอมรับในสังคมที่ตัวเองอยู่
วัยรุ่นบางคนนั้น ที่ไม่สามารถหาจุดยืนให้กับตัวเองได้ จึงต้องทำตามกระแสในสังคมก่อน ซึ่งเรื่องภาษาเป็นเรื่องที่ง่าย และใกล้ตัว นอกจากนี้ยังมีการตามกระแสด้านอื่น ๆ เช่น การแต่งกาย ตามดารา หรือภาพยนตร์ ประกอบกับการมีเทคโนโลยีเป็นสื่อกลางการสื่อสาร พญ.วิมลรัตย์ยังกล่าววว่า การตามกระแสนั้น ทำให้ภาพลักษณ์ของคนที่ใช้ ดูไม่แก่ อย่างไรก็ตาม พญ.วิมลรัตน์ยังเน้นย้ำว่า ในเมื่อวัยรุ่นเป็นกลุ่มที่ตามกระแส ดังนั้นสังคมควรช่วยกันสร้างกระแสที่ดี และนำเทคโนโลยีมาช่วยในการสร้างกระแสนั้นจะเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง  ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สะกดถูก-ผิด แต่อยู่ที่การเรียบเรียงภาษา“ผมว่าปัญหาการสะกดคำผิดถูก ยังไม่สำคัญเท่าทักษะการเรียบเรียงภาษา หรือการคิดวิเคราะห์ของคนรุ่นใหม่”

นี่คือคำตอบที่ได้ หลังเปิดหัวข้อผลกระทบของการใช้ “คำศัพท์” และภาษาโดยที่ไม่รู้ที่มาที่ไปในสังคมออนไลน์ ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต ผู้อำนวยการหลักสูตรนิเทศศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีปทุม ให้ทัศนะในกรณีดังกล่าวว่า ส่วนตัวให้ความสำคัญในการสะกดคำน้อยกว่า ความสามารถในการเรียบเรียงภาษา เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ภาษา หรือถ่ายทอดในสังคมออนไลน์นั้น มักจะเป็นประโยคสั้น ๆ คิดอย่างไรก็พิมพ์ออกมาอย่างนั้น

“บางทีบ่นเรื่องของอากาศร้อน, หิวข้าว จะเป็นการพูดแบบประเด็นเดียว ไม่มีการคิดวิเคราะห์ หรือมองประเด็นทางสังคม หรือแสดงความเห็นมุมเดียว ไม่ได้กลั่นกรองหรือมองให้รอบมุม ประกอบกับเทคโนโลยี สมาร์ทโฟน ไม่เอื้อให้พิมพ์อะไรยาวๆ สุดท้ายแล้ว “สื่อ” เป็นตัวที่เปลี่ยนวิถีการสื่อสารของสังคม ”

สำหรับกรณีการเกิดคำศัพท์ใหม่ จนกลายเป็นที่นิยมนั้น ผศ.ดร.วรัชญ์ ระบุว่า ส่วนใหญ่คำที่ฮิตนั้นมาจากความไม่ตั้งใจ เช่น พิมพ์ผิด แต่จะนำมาใช้ด้วยความตั้งใจ โดยที่ผศ.ดร.วรัชญ์มองว่า สาเหตุหนึ่งของการใช้คำเพื่อไม่ให้ตกขบวนของกระแสนั้น เพื่อเป็นรักษาสถานะของตัวเองในโลกออนไลน์

นอกจากนี้แล้ว “ความขี้เกียจ” ยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ ผศ.ดร.วรัชญ์มองว่า เป็นสาเหตุของการใช้คำที่สั้น ๆ หรือเฉพาะกลุ่มเป็นประจำ จึงก่อให้เกิดความเคยชิน ซึ่งอาจถูกมองว่าหลงลืมคำศัพท์ที่แท้จริง หรือการสะกดที่ถูกต้องเป็นอย่างไร แต่ผศ.ดร.วรัชญ์กลับมองว่า การสื่อสารในโลกออนไลน์นั้น เป็นเพียงการสื่อสารเพียงตัวอักษรที่บางครั้งตั้งใจพิมพ์ผิด เพื่อต้องการสื่ออารมณ์เท่านั้น

แต่เมื่อไหร่ที่ “สื่อกระแสหลัก” นำ “คำศัพท์” นั้นไปใช้ในการนำเสนอข่าว คำศัพท์นั้นจะกลายเป็นที่ยอมรับในสังคมวงกว้าง ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มอีกต่อไป ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มจากข่าวบันเทิง เช่น แซ่บเวอร์ หรือ ซุป’ตาร์ เป็นต้น

“เด็กวัยรุ่น” รู้จัก “กาละเทศะ” ของการใช้ “ศัพท์ใหม่โลกออนไลน์” ในชีวิตจริงแค่ไหน“กาละเทศะในการใช้คำ” เป็นคำที่ ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ รองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวออกมามากที่สุด ในระหว่างพูดถึงภาพสะท้อนของผลกระทบในการใช้คำศัพท์ในสังคมออนไลน์อย่างไม่รู้ต้นตอของคำอย่างแท้จริงศัพท์ที่เกิดขึ้นใหม่ หลายคำมาจากการพิมพ์ผิด หลายคำเกิดจากการตัดทอนคำให้สั้นลง หรือบางครั้งเกิดสำนวนใหม่ๆ ขึ่นมา ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นปกติ

แต่สิ่งที่ผู้ใช้ภาษาต้องตระหนักถึง “กาละเทศะ” ในขณะที่ใช้ ว่าควรจะใช้ในคำไหน เวลาไหน ใช้กับคนในระดับใดมากกว่า เพราะว่าการสื่อสารปกติ กับการสื่อสารในโลกออนไลน์จะต่างกัน ซึ่งบางครั้งอาจจะทำให้ลืมต้นตอ หรือที่มาของคำเดิม เช่น ครับ,มหาวิทยาลัย รวมไปถึงคำควบกล้ำต่าง ๆ ด้วย

“เทคโนโลยี ทำให้คำศัพท์พวกนี้เผยแพร่เร็ว และเป็นที่นิยมในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งในอดีตนั้นคำศัพท์มักมาจากการพาดหัวข่าว หรือผ่านสื่อ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติมาก และมีคนใช้สังคมออนไลน์จำนวนมาก จึงทำให้เกิดคำศัพท์ใหม่มากขึ้น” ดร.มานะกล่าว

นอกจากนี้ ดร.มานะ ยังพูดถึงตัวการ์ตูนที่เรียกว่า meme ที่มีการนำบุคคลดังทั้งดารา นักการเมือง เซเลบบริตี้ เป็นต้น มาล้อเลียนด้วยลักษณะคำพูดเฉพาะตัวบุคคลนั้น ๆ เพื่อเสียดสีกระแสสังคมในประเด็นต่าง ๆ ว่า

“การนำตัวการ์ตูนมาใช้นั้น ถือเป็นความสร้างสรรค์ เป็นนวัตกรรมการสื่อสารในโลกดิจิทัลอย่างหนึ่ง ที่มีการผสมผสานกันมากขึ้น อย่างไรก็ตามปกรากฏการณ์ดังกล่าวนั้น จำเป็นต้องให้ผู้ใช้ และผู้รับสารรู้เท่าทันด้วย” ดร.มานะทิ้งท้าย

จุงเบย-ดราม่า-เมพขิง ๆ “ใคร ๆ ก็ใช้กัน”

น้ำเสียงกวน ๆ เมื่อได้ยินคำถาม เพราะอะไรจึงใช้คำศัพท์ที่นิยมในสังคมออนไลน์ ของ “เติ้ล” พัทธดนย์ ธาราธีรเศรษฐ์ และ “ดราฟ” วีรภัทร ประเสริฐศรี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ทั้งสองระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า สาเหตุที่ใช้คำศัพท์ที่กำลังเป็นที่นิยมในสังคมออนไลน์นั้น เพราะ “ใคร ๆ และคนรอบตัวก็ใช้กัน” ซึ่งไม่อยากตกกระแสที่กำลังเป็นอยู่ ทั้งนี้ทั้ง 2 เห็นว่า คำศัพท์ที่เป็นที่นิยมนั้นไม่นานเท่าไหร่ เดี๋ยวมันก็หายไปตามกาลเวลา แม้การ “ใช้-แชร์” คำศัพท์ฮอตฮิต อาจไม่ได้ “ส่อ” ถึงอวสานของภาษาไทย และอาจไม่ใช่คำตอบที่จะเป็นจุดพลิกผันของวงการ แต่นี่เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ที่ทำให้กลับมาตั้งคำถามถึง “วิธีการใช้” ภาษาไทยอย่างไรให้ถูกต้อง ไม่สับสน เหมาะสมกับสถานการณ์ บุคคล และกาละเทศะ เพื่อสร้างตัวตนและจุดยืนของตัวเอง รวมถึงสามารถใช้ภาษาไทยถ่ายทอดความคิดที่มีระบบ-รอบด้าน โดยไม่ถูกเทคโนโลยีที่ “ยัดเยียดความเร็ว” จนหลงลืมการใช้ภาษาไทยที่แท้จริงในชีวิตประจำวัน



ภาพประกอบ  : พญ.วิมลรัตน์ วัญเพ็ญ รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์  จาก เว็บไซต์ ผู้จัดการ




วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2557

คำเป็น คำตาย และไตรยางศ์


คำเป็น คำตาย 

           คำเป็น  คำตาย  เป็นการจำแนกคำตามลักษณะที่ใช้ระยะเวลาออกเสียงต่างกัน  ซึ่งลักษณะดังกล่าวจะทำให้คำที่มีเสียงพยัญชนะต้นเป็นรูปเดียวกัน  มีเสียงวรรณยุกต์ต่างกัน  

คำเป็น  ได้แก่  คำที่มีลักษณะ  ดังต่อไปนี้
       ๑.  คำที่พยัญชนะประสมกับสระเสียงยาวในแม่  ก  กา  เช่น  มา  ดู  ปู  เวลา  ปี  ฯลฯ
       ๒.  คำที่พยัญชนะประสมกับสระ  –ำ    ใ -  ไ -  เ – า  เช่น  จำ  น้ำ  ใช่  เผ่า  เสา  ไป  ฯลฯ
       ๓.  คำที่มีตัวสะกดอยู่ในแม่  กง  กน  กม  เกย  เกอว  เช่น  จริง  กิน  กรรม  สาว  ฉุย  ฯลฯ

คำตาย  ได้แก่  คำที่มีลักษณะ  ดังต่อไปนี้
       ๑.   คำที่พยัญชนะประสมกับสระเสียงสั้นในแม่  ก  กา  เช่น  กะทิ  เพราะ  ดุ  แคะ  ฯลฯ
       ๒.  คำที่มีตัวสะกดในแม่  กก  กบ  กด  เช่น  บทบาท  ลาภ  เมฆ  เลข  ธูป  ฯลฯ

วิธีพิจารณา
        ๑. ให้สังเกตที่ตัวสะกดเป็นหลัก  ถ้าคำที่ต้องการพิจารณามีตัวสะกดให้ดูที่ตัวสะกดไม่ต้องคำนึงถึงสระเสียงสั้นยาว  ดูว่าคำนั้นมีตัวสะกดหรือไม่  ถ้ามีให้ขีดเส้นใต้ตัวสะกด
         ๒. ดูว่าตัวสะกดนั้นเป็น  กบด  หรือไม่  ( แม่  กก  กบ  กด )  ถ้าใช่  คำนั้นจะเป็นคำตาย  ถ้าไม่ใช่  กบด คำนั้นจะเป็นคำเป็น
         ๓. ในกรณีที่ไม่มีตัวสะกด  ให้ดูว่าคำนั้นประสมด้วยสระเสียงสั้น  หรือเสียงยาว  ถ้าอายุสั้น
( เสียงสั้น )  ต้องตาย  ถ้าอายุยาว  ( เสียงยาว )  จึงเป็น

กลวิธีในการจำคำเป็น  คำตาย
คำตาย
คำเป็น
-  พวกที่เป็น  กบด  ต้องตายก่อน  (สะกดด้วยแม่  กก  กบ  กด)
-  อายุสั้นต้องตายตาม  (ประสมด้วยสระเสียงสั้น)
-  สะกดด้วยแม่  กง  กน  กม  เกย  เกอว
-  อายุยาวเป็น  (ประสมด้วยสระเสียงยาว)



          ให้จำในส่วนของคำตายให้ได้เพราะจำง่าย  คือ  กบด  ต้องตายก่อน  และอายุสั้นต้องตายตาม  กล่าวคือ  สะกดด้วยแม่กก  กบ  กด  (กรณีมีตัวสะกด)  และประสมด้วยสระเสียงสั้น  (กรณีไม่มีตัวสะกด)  เป็นคำตาย  นอกเหนือจากนี้เป็นคำเป็นทั้งหมด
           ***  ดังนั้นสรุปได้ว่า  คำที่ประสมด้วยสระ  –ำ    ใ -  ไ -  เ – า  เป็นคำเป็น  เพราะนับว่ามีตัวสะกด ในมาตรา แม่กม  แม่เกย และ แม่เกอว ตามลำดับ

* พื้นเสียง  หมายถึง  เสียงที่ปรากฏประจำคำที่ไม่มีรูปวรรณยุกต์  หากมีเสียงวรรณยุกต์ใด  ก็ถือว่าคำนั้นมีพื้นเสียงนั้น  เช่น  คา  ไม่มีรูป
วรรณยุกต์กำกับ  แต่มีเสียงวรรณยุกต์สามัญ  จึงนับว่า  คา  ซึ่งเป็นอักษรต่ำคำเป็น  มีพื้นเสียงเป็นเสียงสามัญ

ไตรยางศ์
            ไตรยางค์ คือ การแบ่งพยัญชนะไทยทั้ง ๔๔ ตัว ออกเป็น ๓ ส่วน ซึ่งเรียกว่า “ อักษรสามหมู่” โดยอักษรสามหมู่ประกอบด้วย อักษรสูง อักษรกลาง และอักษรต่ำ
อักษรสามหมู่แบ่งได้ดังนี้
    อักษรสูง มี ๑๑ ตัว คือ ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ส ษ ห
    อักษรกลาง มี ๙ ตัว คือ ก จ ด ต ฎ ฏ บ ป อ
    อักษรต่ำ มี ๒๔ ตัว คือ ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ
 อักษรคู่ - อักษรเดี่ยว
             พยัญชนะไทยทั้ง ๔๔ ตัว นอกจากจะสามารถแบ่งออกเป็นสามหมู่ หรือที่เรียกว่าไตรยางค์ ได้แก่ อักษรสูง อักษรกลาง และอักษรต่ำ แล้ว... อักษรต่ำ ซึ่งมีทั้งหมด ๒๔ ตัว ยังสามารถแบ่งย่อยออกเป็น อักษรคู่ และอักษรเดี่ยวได้อีกด้วยนะคะ ดังต่อไปนี้
             อักษรคู่ คือ อักษรต่ำที่มีเสียงคู่ หรือเสียงใกล้เคียงกับอักษรสูง มี ๑๔ ตัว
ได้แก่ ค ฅ ฆ ช ซ ฌ ฑ ฒ ท ธ พ ฟ ภ ฮ
             อักษรต่ำคู่ สามารถนำมาจับคู่กับอักษรสูงได้ ๗ คู่ ดังนี้

อักษรคู่/อักษรต่ำ
อักษรสูง
ค ฅ ฆ
คู่กับ
ข ฃ
ช ฌ
คู่กับ
คู่กับ
ศ ส ษ
ฑ ฒ ท ธ
คู่กับ
ฐ ถ
พ ภ
คู่กับ
คู่กับ
คู่กับ
                     
                 อักษรเดี่ยว หรืออักษรต่ำเดี่ยว คือ อักษรต่ำที่ไม่มีเสียงคู่กับอักษรสูง มี ๑๐ ตัว ได้แก่ ง ญ ณ น ม ย ร ล ว ฬ

 การผันคำ
          การผันคำ คือ การออกเสียงพยางค์ที่ใช้พยัญชนะตัวเดียวกัน และสระเสียงเดียวกัน แต่เสียงวรรณยุกต์จะเปลี่ยนไป
เช่น ดวง ด่วง ด้วง ด๊วง ด๋วง หรือ ปา ป่า ป้า ป๊า ป๋า

                 พื้นเสียง คือ พยางค์ที่ไม่มีรูปวรรณยุกต์ เช่น “ การ กิน ดี มี สุข”  จะเห็นว่าทั้งห้าคำนี้ ไม่มีรูปวรรณยุกต์อยู่เลย จำไว้นะคะว่า คำเหล่านี้แม้จะไม่มีรูปวรรณยุกต์ แต่ทุก ๆ เสียง ทุก ๆ คำในภาษาไทยจะต้องมีเสียงวรรณยุกต์
                   อย่างที่บอกไปแล้วในตอนต้นว่า การแบ่งอักษรเป็นสามหมู่ก็เพื่อประโยชน์ในการนำไปผันคำ ทั้งนี้เพราะอักษรสูง อักษรกลาง และอักษรต่ำ มีพื้นเสียง และวิธีการผันคำที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ คำเป็นและคำตาย ก็ยังมีวิธีการผันคำที่แตกต่างกันอีกด้วย ดังต่อไปนี้

๑. การผันอักษรสูง ( ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ส ษ ห)
             อักษรสูง คำเป็น พื้นเสียงเป็นเสียงจัตวา เช่น ขาว หาม ถาง  ดังนั้น เมื่อผันด้วยวรรณยุกต์เอก จะได้เสียงเอก เช่น ข่าว ฝ่า ส่ง เมื่อผันด้วยวรรณยุกต์โท จะได้เสียงโท เช่น ข้าว ฝ้า จะเห็นได้ว่า “ อักษรสูง คำเป็น” ผันได้ ๓ เสียง คือ เสียงเอก โท ตรีและจัตวา

เสียงสามัญ
เสียงเอก
เสียงโท
เสียงตรี
เสียงจัตวา
-
ฝั่ง
ฝั้ง
-
ฝัง
-
ถี่
ถี้
-
ถี
-
ข่าว
ข้าว
-
ขาว
  
           อักษรสูง คำตาย พื้นเสียงเป็นเสียงเอก เช่น ขด ผด ขบ ดังนั้น เมื่อผันด้วยวรรณยุกต์โท จะได้เสียงโท เช่น ข้ด ห้ก  จะเห็นได้ว่า “ อักษรสูง คำตาย” ผันได้ ๒ เสียง คือ เสียงเอก และโท

เสียงสามัญ
เสียงเอก
เสียงโท
เสียงตรี
เสียงจัตวา
-
ผัก
ผั้ก
-
-
-
สะ
ส้ะ
-
-
-
หัด
หั้ด
-
-

๒. การผันอักษรกลาง ( ก จ ด ต ฎ ฏ บ ป อ) 
                อักษรกลาง คำเป็น พื้นเสียงเป็นเสียงสามัญ เช่น กาย ดาว ปา ดังนั้น เมื่อผันด้วยวรรณยุกต์เอก จะได้เสียงเอก เช่น ต่า ป่า ด่า 
                 เมื่อผันด้วยวรรณยุกต์โท จะได้เสียงโท เช่น ต้า ป้า ด้า
                 เมื่อผันด้วยวรรณยุกต์ตรี จะได้เสียงตรี เช่น ต๊า ป๊า ด๊า
                 เมื่อผันด้วยวรรณยุกต์จัตวา จะได้เสียงจัตวา เช่น ต๋า ป๋า ด๋า
               จะเห็นได้ว่า “ อักษรกลาง คำเป็น” ผันได้ครบทั้ง ๕ เสียง และเสียงของวรรณยุกต์ก็ยังตรงกับรูปของวรรณยุกต์อีกด้วย

เสียงสามัญ
เสียงเอก
เสียงโท
เสียงตรี
เสียงจัตวา
กา
ก่า
ก้า
ก๊า
ก๋า
อำ
อ่ำ
อ้ำ
อ๊ำ
อ๋ำ
ตาย
ต่าย
ต้าย
ต๊าย
ต๋าย
         อักษรกลาง คำตาย พื้นเสียงเป็นเสียงเอก เช่น กบ กะ โดด ดังนั้น
                  เมื่อผันด้วยวรรณยุกต์โท จะได้เสียงโท เช่น ก้บ ก้ะ โด้ด 
                  เมื่อผันด้วยวรรณยุกต์ตรี จะได้เสียงตรี เช่น ก๊บ ก๊ะ โด๊ด
                   เมื่อผันด้วยวรรณยุกต์จัตวา จะได้เสียงจัตวา เช่น ก๋บ ก๋ะ โด๋
                   จะเห็นได้ว่า “ อักษรต่ำ คำเป็น” ผันได้ ๔ เสียง คือ เสียงเอก โท ตรีและจัตวา

เสียงสามัญ
เสียงเอก
เสียงโท
เสียงตรี
เสียงจัตวา
-
กัก
กั้ก
กั๊ก
กั๋ก
-
ตอบ
ต้อบ
ต๊อบ
ต๋อบ
-
ปอบ
ป้อบ
ป๊อบ
ป๋อบ

๓. การผันอักษรต่ำ ( ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ)
          อักษรต่ำ คำเป็น พื้นเสียงเป็นเสียงสามัญ เช่น คาง ธง โชน ยาว เคย ดังนั้น
                    เมื่อผันด้วยวรรณยุกต์เอก จะได้เสียงโท เช่น ค่าง โค่น เท่า
                     เมื่อผันด้วยวรรณยุกต์โท จะได้เสียงตรี เช่น ค้าง โล้น เท้า
                     จะเห็นได้ว่า “ อักษรต่ำ คำเป็น” ผันได้ ๓ เสียง คือ เสียงสามัญ โท และตรี เช่น

เสียงสามัญ
เสียงเอก
เสียงโท
เสียงตรี
เสียงจัตวา
คา
(ข่า)
ค่า
ค้า
(ขา)
เยือน
(เหยื่อน )
เยื่อน
เยื้อน
(เหยือน)
ลุม
(หลุ่ม)
ลุ่ม
ลุ้ม
(หลุม)
  
                      อักษรต่ำ คำตาย-สระเสียงสั้น พื้นเสียงเป็นเสียงตรี เช่น รัก นะ คะ ดังนั้น
                     เมื่อผันด้วยวรรณยุกต์เอก จะได้เสียงโท เช่น รั่ก น่ะ ค่ะ
                      จะเห็นได้ว่า “ อักษรต่ำ คำตาย-สระเสียงสั้น” ผันได้ ๒ เสียง คือ เสียงโท และตรี เช่น

เสียงสามัญเสียงเอกเสียงโทเสียงตรีเสียงจัตวา
-
-
ค่ะคะ
-
-
-
ง่บงบ
-
-
-
คึ่กคึก
-

                        อักษรต่ำ คำตาย-สระเสียงยาว พื้นเสียงเป็นเสียงโท เช่น ฟาก เชิด ดังนั้น
                       เมื่อผันด้วยวรรณยุกต์โท จะได้เสียงตรี เช่น ฟ้าก เชิ้ด
                        จะเห็นได้ว่า “ อักษรต่ำ คำตาย-สระเสียงยาว” ผันได้ ๒ เสียง คือ เสียงโท และตรี เช่น

เสียงสามัญ
เสียงเอก
เสียงโท
เสียงตรี
เสียงจัตวา
-
-
มาก
ม้าก
-
-
-
ราด
ร้าด
-
-
-
ทาบ
ท้าบ
-

๔. การผันอักษรคู่ (ค ฅ ฆ ช ซ ฌ ฑ ฒ ท ธ พ ฟ ภ ฮ)
อักษรคู่ คือ อักษรต่ำที่มีเสียงคู่ หรือเสียงใกล้เคียงกับอักษรสูง ( ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ส ษ ห)   
ซึ่งเมื่อ “ อักษรต่ำคู่” นำมาผันร่วมกันกับ “ อักษรสูง” แล้วจะได้เสียงวรรณยุกต์ครบ ๕ เสียง เช่น
คู่ที่
อักษรสูง
อักษรต่ำ
เสียงสามัญ
เสียงเอก
เสียงโท
เสียงตรี
เสียงจัตวา
ค ฅ ฆ
ข ฃ
คา
ข่า
ค่า / ข้า
ค้า
ขา
ช ฌ
ชา
ฉ่า
ช่า / ฉ้า
ช้า
ฉา
ศ ส ษ
ซา
ส่า
ซ่า / ส้า
ซ้า
สา
ฑ ฒ ท ธ
ฐ ถ
ทา
ถ่า
ท่า / ถ้า
ท้า
ถา
พ ภ
พา / ภา
ผ่า
พ่า / ผ้า
พ้า
ผา
ฟา
ฝ่า
ฟ่า / ฝ้า
ฟ้า
ฝา
ฮา
ห่า
ฮ่า / ห้า
ฮ้า
หา

๕. การผันอักษรเดี่ยว (มี ๑๐ ตัว คือ ง ญ ณ น ม ย ร ล ว ฬ)
                     
             อักษรเดี่ยว คือ อักษรต่ำที่ไม่มีเสียงคู่กับอักษรส   ดังนั้น หากต้องการจะผันให้ครบทั้ง ๕ เสียง 
จะต้องใช้พยัญชนะ หรือเสียง ห. นำ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

เสียงสามัญ
เสียงเอก
เสียงโท
เสียงตรี
เสียงจัตวา
ยา
หย่า
ย่า / หย้า
ย้า
หยา
ลา
หล่า
ล่า / หล้า
ล้า
หลา
วา
หว่า
ว่า / หว้า
ว้า
หวา
ที่มา : https://www.gotoknow.org/posts/240047